เรื่องสั้นไทย “เรียกมันว่าชะตากรรม” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

อ่านเรื่องสั้นไทย-เรียกมันว่าชะตากรรม-โดย-ธาร-ยุทธชัยบดินทร์-นักเขียนไทย

มุมอ่านเรื่องสั้น วรรณกรรมไทย

.

หากถามว่าความยุติธรรมคืออะไร   ชาวบ้านผู้มอบอำนาจ (หากจะมีอยู่บ้าง) ให้ชายหนุ่มไปทวงถามความยุติธรรมล้วนตอบไม่ได้   เขาเองก็ไม่รู้คำตอบเช่นเดียวกัน   มันช่างเป็นคำถามที่ตอบได้ยากเสียเหลือเกินสำหรับคนยากจนหรือคนด้อยโอกาส   แต่หัวใจของพวกเขาก็พากันคร่ำครวญอย่างหนักถึงชีวิตที่ไม่เคยได้สัมผัสความยุติธรรมเลย   ราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่จริงในโลกของพวกเขา   แม้หน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้จะตั้งขึ้นมานานแล้วก็ตาม

“ไปเถิด   ไปทวงความยุติธรรม   และนำมันกลับมาให้พวกเราได้ชื่นชมบ้าง”

เขายิ้มรับอย่างเศร้า ๆ   ยกมือไหว้พ่อแม่   ก่อนจะก้มลงกอดลูกเมียอย่างอาลัยรัก   แล้วจากมาด้วยความไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเองนัก   แต่เอาเถอะ   เขาจะทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านผิดหวังไม่ได้โดยเด็ดขาด   เขาคิด   พร้อมกับพยายามทำจิตใจให้กล้าหาญ   แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่ไอ้หนุ่มอ่อนด้อยประสบการณ์   ทว่าสำหรับคนหนุ่มสาวทุกยุคทุกสมัยแล้ว   ย่อมถือเอาความจริงใจเป็นที่ตั้ง   เพื่อก้าวไปให้ถึงปลายทางแห่งความสำเร็จ   และนี่ก็คือความมุ่งมั่นสู่เป้าหมายของเขา

.

.

อาคารแห่งความยุติธรรมนั้นช่างใหญ่โตมโหฬารยิ่งนัก   ยอดของมันสูงลิบลิ่วจนเลือนหายไปในหมู่เมฆขาวและดาวเดือน

ชายหนุ่มก้มหน้ามองดูสภาพตัวเองด้วยความประหม่า   มีอาการสะทกสะท้านที่ปิดบังเอาไว้ไม่อยู่   เขารู้สึกได้ถึงความแปลกแยกระหว่างความยิ่งใหญ่กับความต่ำต้อย   ความร่ำรวยกับความยากจน   ความสูงส่งกับความสามัญ   และความเหลื่อมล้ำต่ำสูงอื่น ๆ อีกมากมาย   รองเท้าผ้าใบเปื้อนดินของเขาสมควรแล้วหรือ   ที่จะเดินย่ำเข้าไปเพื่อทำให้พรมแดงในอาคารแห่งนี้แปดเปื้อน   ความลังเลบังเกิดขึ้นภายในใจ   ขณะกำลังยืนละล้าละลังอยู่หน้าประตูใหญ่   อันเป็นทางเข้าสู่อาคารแห่งความยุติธรรม

หลังจากรีรออย่างเงอะ ๆ งะ ๆ อยู่นาน   ภาพของชาวบ้านซึ่งกำลังนั่งคอยคำตอบอยู่ที่หมู่บ้านก็ปรากฏขึ้นอย่างแจ่มชัด   ไม่ดีแน่   เขาบอกตัวเอง   หัวใจของผู้ทวงถามความยุติธรรมจะต้องไม่หวาดหวั่น   เขาคงรู้สึกทรมานใจไปชั่วชีวิต   หากไม่สามารถนำเอาความยุติธรรมกลับไปมอบให้แก่ชาวบ้านผู้น่าสงสารได้สำเร็จ   ความคิดนี้กลายเป็นพลังผลักดันให้เขากล้าเดินผ่านประตูใหญ่เข้าไปอย่างมุ่งมั่น

“เฮ้ย   ใครใช้ให้เอ็งมาเดินเกะกะแถวนี้วะ”   เสียงตวาดบาดหูดังมาจากชายกลางคนในเครื่องแบบสีกากีผู้หนึ่ง   ซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวเล็ก ๆ ใกล้กับประตูนั่นเอง

เขาหน้าซีด   หัวใจเต้นระรัว   รีบอธิบายเสียงอ้อมแอ้มตะกุกตะกักว่า   เขาเป็นตัวแทนชาวบ้าน   เดินทางมาเพื่อทวงถามความยุติธรรม   พวกชาวบ้านต้องการความยุติธรรมเป็นของตนเองมานานแล้ว   ชายคนนั้นได้ฟังก็ทำสีหน้าไม่พอใจ   หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน

“งั้นเรอะ   จะเอาไปทำไมล่ะ   ไอ้ความยุติธรรมของพวกแกน่ะ   แต่เอาเถอะ   ไหน ๆ ก็มาแล้ว   กรอกแบบฟอร์มนี่ก่อน   มันเป็นระเบียบ   คนอย่างแกรู้จักไหม   คำว่าระเบียบน่ะ”

ค่อยยังชั่ว   เขาคิดอย่างโล่งอก   การเรียกร้องความยุติธรรมไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่กังวลเลย   เขาค่อยคลายอาการหวาดหวั่น   รีบเดินตรงเข้าไปที่โต๊ะของชายคนนั้น   มีกระดาษปึกหนึ่งตั้งอยู่อย่างเป็นระเบียบ   เขาดึงแผ่นบนสุดมายืนเขียนอย่างเก้ ๆ กัง ๆ

“เรียบร้อยแล้วครับ”   เขาเอ่ยเสียงเบา   รีบยื่นแบบฟอร์มให้   หลังจากกรอกข้อความครบถ้วนแล้ว

“ไอ้ควายเอ๊ย   โง่แล้วยังอยากทวงถามความยุติธรรมอีกแน่ะ   ข้าควรจะสงสารคนอย่างแกดีไหม”

เสียงเอ็ดตะโรทำให้ใครต่อใครที่เดินผ่านไปมามองเขาเป็นสายตาเดียว   บางคนอมยิ้มด้วยความขบขัน   บางคนยิ้มอย่างเหยียดหยาม   คนเหล่านี้ล้วนแต่งกายด้วยชุดสากลสีดำ   สีน้ำเงิน   และสีเทา

“ปึกนี้ทั้งปึกโว้ยไอ้งั่ง   นี่ข้าจะต้องเสียเวลาอธิบายให้แกฟังอีกนานเท่าไรวะ   หนึ่งหรือสองศตวรรษพอไหม”

ชายหนุ่มลนลานเอ่ยคำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า   ร่างกายมีอาการตัวสั่นงันงก    รู้สึกกลัวและเศร้าใจ   แต่ไม่ได้อยากกล่าวโทษชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าเลย   เขาผิดเองที่ไม่รู้มาก่อนว่า การทวงถามความยุติธรรมจะต้องเขียนอะไรมากมายถึงเพียงนี้

“มิน่าล่ะ”   เขารำพึง  “ความยุติธรรมจึงไม่เคยตกถึงมือชาวบ้านอย่างพวกเราเลย”

อย่างไรก็ตาม   สุดท้ายเขาก็กรอกข้อมูลลงในกระดาษปึกใหญ่จนครบถ้วนทุกแผ่น   เขาเห็นชายคนนั้นรับกระดาษไปพลิกดูอย่างลวก ๆ ด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย   มันคงเป็นงานหนักของใครก็ตามที่ต้องมาทำหน้าที่นี้   เขาคิดอย่างเห็นใจ   พยายามไม่ก่อเรื่องยุ่งยากเพื่อจะได้เสร็จสิ้นภารกิจโดยเร็ว   ยามนี้เขารู้สึกคิดถึงทุกคนที่บ้านเหลือเกิน   ครั้นแล้วก็เผยอยิ้มจนดวงตาเป็นประกาย   เมื่อนึกได้ว่าอีกไม่นานนักหรอก   เขาจะได้กลับบ้านไปหาพ่อแม่และลูกเมีย   นั่นแหละคือความสุขในชีวิต

“เอาเอกสารพวกนี้ไปให้ฝ่ายบริหารงานทั่วไปรับเรื่องไว้ก่อน”

“อ้า  ขอโทษครับ   ฝ่ายที่ว่านี้อยู่ตรงไหนของตึกนี้ครับ”

ราวกับว่าเขาได้ทำสิ่งผิดใหญ่หลวงลงไป   ชายคนนั้นจึงตะคอกใส่ด้วยใบหน้าถมึงทึงและบิดเบี้ยว   ดวงตาแดงก่ำที่จ้องมองมาก็โปนพองอย่างน่ากลัว

“เดินเข้าไปหาดูซีโว้ย   หาไม่เจอแกก็เดินหาความยุติธรรมไปจนตายเหอะ   แกมันทำให้เสียเวลาพักผ่อนของเจ้าหน้าที่จริง ๆ”

เขารีบคว้ากระดาษทั้งปึกมากอดไว้แนบอก   ก่อนผละออกมาอย่างลนลาน   หัวใจแทบจะหยุดเต้นเสียให้ได้   ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยพบผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เช่นนี้มาก่อนเลย   ในหมู่บ้านของเขาคนที่จะพูดเสียงดังได้ต้องเป็นที่เคารพ   เช่น   หลวงพ่อหรือผู้ใหญ่บ้าน   แต่คนเหล่านั้นกลับไม่เคยส่งเสียงดังขนาดนี้

ชายหนุ่มเดินไปตามทางข้างหน้า   พยายามมองซ้ายมองขวา   ค่อย ๆ ไล่อ่านชื่อส่วนราชการไปทีละห้อง   แต่ละห้องล้วนกว้างใหญ่จุเจ้าหน้าที่ได้หลายร้อยคน   เขาเห็นพวกเจ้าหน้าที่กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง   ทว่าไม่ได้ทำงานอื่นใดนอกจากอ่านหนังสือพิมพ์   เล่นหมากรุก   หรือไม่ก็ดื่มกาแฟ   บางคนกำลังคุยโทรศัพท์   และหลายคนยุ่งอยู่กับการซื้อขายสินค้าบางอย่างในหมู่เพื่อนร่วมงาน

หลังจากเดินสอดส่ายสายตาไปตามทางเดินในอาคารอยู่พักใหญ่ ๆ ตั้งแต่ชั้นล่างจนกระทั่งขึ้นบันไดมาถึงชั้นที่ห้า   ในที่สุด   เขาก็พบห้องของฝ่ายบริหารงานทั่วไปจนได้

ด้านหน้าของฝ่ายบริหารงานทั่วไปมีช่องกระจกใสสำหรับติดต่อสอบถาม   เขาก้าวเข้าไปรอยื่นเอกสาร   แลเห็นเจ้าหน้าที่หญิงนั่งอยู่หลังกระจกอย่างเหม่อลอยด้วยรอยยิ้มฝัน ๆ   หล่อนสวมเครื่องแบบเรียบร้อย   ใบหน้าและทรงผมตกแต่งไว้อย่างสวยงาม

“มาติดต่ออะไร”   จู่ ๆ หญิงคนนั้นก็ตะคอกถาม   เขารู้สึกแสบเข้าไปถึงแก้วหู   เริ่มเชื่อแล้วว่าคนที่นี่พูดจากันเช่นนี้   มันคงเป็นวัฒนธรรมของคนมีอำนาจอย่างที่หลวงพ่อในวัดประจำหมู่บ้านได้เคยเตือนไว้

แต่แล้วโดยที่ยังไม่ทันอ้าปากตอบคำถาม   เขาก็บังเกิดความไม่เข้าใจขึ้นมาทันที   เมื่อเห็นชายคนหนึ่งในชุดสากลสีดำแทรกร่างเข้ามาขวางหน้าเขาตรงช่องกระจก   แล้วยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้น   หล่อนรับไปอ่านด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน   สลับกับการเงยหน้าขึ้นมองดูชายผู้มาติดต่อด้วยสายตาชมดชม้อย   จากนั้นพูดคุยกันด้วยเสียงที่เบามากจนเขาได้ยินไม่ถนัด

สักพักหนึ่งหล่อนก็ประทับตรายางลงบนกระดาษ และส่งให้เจ้าหน้าที่หญิงอีกคนซึ่งนั่งอยู่โต๊ะถัดไป   ชายคนนั้นเอ่ยขอบคุณพร้อมกับยื่นซองสีขาวให้หญิงสาว   มีการกระซิบกระซาบกันอีกเล็กน้อย   ก่อนที่ชายคนนั้นจะผิวปากเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี

“อ้าว   แล้วนั่นยืนทื่ออยู่ทำไมล่ะ   จะติดต่อเรื่องอะไรก็รีบ ๆ หน่อย”   เจ้าหน้าที่สาวคนเดิมหันกลับมาตวาดใส่เขา ใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นบึ้งตึงเหมือนนางยักษ์

เขารีบยื่นกระดาษทั้งปึกส่งให้อย่างนอบน้อม   พร้อมกล่าวเสียงดังราวกับเสียงฟ้าผ่าว่า

“ผมมายื่นเรื่องทวงถามความยุติธรรมครับ”

“นี่แก…ใคร…ใครใช้ให้แกตะโกนแบบนี้ฮึ”   หญิงสาวนัยน์ตาวาว   ริมฝีปากสั่นระริก   ขณะตะโกนสวนกลับมา

เขาทำหน้าตาเหลอหลา   รู้สึกงุนงงที่เห็นอีกฝ่ายหนึ่งพูดเหมือนไม่พอใจอย่างหนัก   แต่ก็รีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพยพลางยิ้มแหย ๆ   เจ้าหน้าที่สาวสวยทำปากขมุบขมิบ   ก่อนจะก้มหน้าพลิกดูเอกสารทั้งหมดอย่างลวก ๆ   จากนั้นคว้าตรายางมาประทับลงบนกระดาษแผ่นบนสุด

“เตรียมค่าธรรมเนียมมาเท่าไหร่ล่ะ”   

คราวนี้หล่อนถามเสียงเบาเหมือนกระซิบ   เขาตอบว่าถ้าหมายถึงเงินทองเขาไม่มีหรอก   หล่อนจึงโคลงศีรษะไปมาอย่างอิดหนาระอาใจ   แล้วส่งกระดาษปึกนั้นคืนให้   พร้อมกับสั่งให้เขานำเอกสารทั้งหมดไปยื่นที่ “กองพิจารณาความยุติธรรม” ด้วยตัวเอง   เนื่องจากไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียม

เขากล่าวขอบคุณด้วยเสียงกระซิบ   คราวนี้ไม่กล้าถามว่ากองดังกล่าวอยู่ตรงไหน   ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า   เอาเถอะน่า   ลองเดินหาไปเรื่อย ๆ   คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก   ความยุติธรรมกำลังขยับเข้ามาใกล้มากแล้ว

จริงอย่างที่คิด   หลังจากที่เดินค้นหากองพิจารณาความยุติธรรมมาจนถึงชั้นที่ 13   เขาก็พบส่วนราชการนี้จนได้ มันเป็นส่วนราชการที่ใหญ่โตมาก   เพราะกินพื้นที่ทั้งหมดของชั้นนี้เลยทีเดียว

“ดูนั่น…”   เขาพึมพำขณะกวาดสายตาไปทั่ว   ตรงกลางห้องขนาดมหึมามีห้องกระจกสีดำตั้งอยู่   มันใหญ่กว่ากระท่อมชาวนาประมาณสี่หรือห้าเท่า   ตั้งอยู่ราวกับเป็นหัวใจของชั้นนี้   เขากะด้วยสายตาคร่าว ๆ ว่า   กองพิจารณาความยุติธรรมน่าจะมีคนทำงานเป็นพัน   ต่างส่งเสียงพูดคุยกันราวกับอยู่ในรังนกกระจอกเลยทีเดียว

แม้จะเป็นเด็กบ้านนอกซึ่งไม่ได้ร่ำเรียนมาสูงนัก   อาศัยที่รักการอ่านหนังสือ   จึงรู้ว่าเจ้าหน้าที่กำลังสนทนากันด้วยเรื่องข้อกฎหมาย   ความยุติธรรม   และความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในสังคม   ทว่าก็ยังมีเรื่องราวอีกมากมายนักที่เขาไม่เคยอ่านหรือเคยได้ยินได้ฟังมาก่อน   เขารู้สึกตื่นเต้น   อยากเดินเข้าไปพูดคุยด้วย   แต่ไม่มีใครสนใจเขาเลย

ขณะกำลังยืนเคว้งคว้างอยู่ตรงหน้าประตูนั่นเอง   พลันก็มีชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา   วิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาหาด้วยอาการกระตือรือร้น   ชายผู้นี้สวมเครื่องแบบสีกากีอ่อน   ประดับเครื่องหมายและเหรียญตราเป็นแผงไว้บนอกเสื้อ      ใบหน้าขาวใสดูยิ้มแย้ม   ท่าทางเปิดเผยและอบอุ่น   อย่างไรก็ตาม เขารีบยกมือข้างหนึ่งปิดหูเอาไว้เพื่อความไม่ประมาท   ส่วนหูอีกข้างใช้กระดาษปึกใหญ่ปิดไว้แทน

“ทำไมต้องปิดหูด้วยล่ะครับ   คุณประชาชนที่รัก   แล้วอย่างนี้เราจะคุยกันรู้เรื่องหรือครับ”   เจ้าหน้าที่หนุ่มถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ    ความดังอยู่ในระดับปกติ   เขาจึงได้ยินไม่ชัด   ต้องรีบลดมือลงพลางยิ้มเก้อเขิน

“มีอะไรให้ผมรับใช้บ้างครับ   ผมคือนักประชาสัมพันธ์ระดับ 5 แห่งกองพิจารณาความยุติธรรมครับ ยินดีรับใช้ประชาชนที่รักทุกท่านเสมอ”

น้ำเสียงนุ่มนวลอันเต็มไปด้วยกระแสแห่งความเอื้ออาทรนี้   ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกใจชื้นขึ้นมากทีเดียว   เขาจึงยื่นกระดาษเอกสารคำร้องขอความยุติธรรมในมืส่งให้   พร้อมกับแนะนำตัวว่าเป็นตัวแทนของชาวบ้าน   มาที่นี่เพื่อทวงถามความยุติธรรม   เจ้าหน้าที่คนนั้นพลิกดูข้อมูลด้วยท่าทีสนใจ   สักครู่หนึ่งก็ส่งคืนให้เขาอย่างนอบน้อม   แล้วแนะนำให้เข้าพบผู้อำนวยการกองพิจารณาความยุติธรรม

“ไม่ต้องห่วงครับ   ท่านผู้อำนวยการกองใจดีมาก   มีปัญหาอะไร   คุณประชาชนที่รักก็เรียนท่านไปตามตรง”

เมื่อกำชับให้เข้าใจแล้ว   นักประชาสัมพันธ์หนุ่มก็พาเขาไปที่ห้องกระจกสีดำ   และยกมือเคาะประตูกระจกเบา ๆ สองสามครั้ง   ก่อนจะเดินหายเข้าไปตามลำพัง

สักครู่หนึ่ง   นักประชาสัมพันธ์หนุ่มก็กลับออกมา   พร้อมกับแจ้งว่า   ผู้อำนวยการกองพิจารณาความยุติธรรมอนุญาตให้เขาเข้าพบได้

“เชิญนั่งครับ”   ผู้อำนวยการกองพิจารณาความยุติธรรมซึ่งสวมชุดสากลสีเทาเงินดูมีราคา   กำลังนั่งจมอยู่ในเก้าอี้ตัวใหญ่ด้านหลังโต๊ะทำงานที่มีขนาดเกือบเท่าเตียงนอน   ใบหน้าของผู้อำนวยการกองดูเปล่งปลั่งมีสง่าราศี   ร่างกายอ้วนท้วน   และอยู่ในวัยกลางคน เสียงพูดฟังแล้วนุ่มนวลสบายรูหู   แทบไม่ต่างจากเจ้าหน้าที่คนก่อน   เพียงแต่แฝงอำนาจมากกว่าเท่านั้น

เขาไม่ได้นั่งลงตามคำเชิญ   ด้วยเกรงว่าจะทำให้เก้าอี้อันสวยงามเปรอะเปื้อน   แต่วางเอกสารทั้งปึกลงบนโต๊ะ   แล้วเลื่อนมันไปไว้ตรงหน้าของอีกฝ่ายหนึ่ง   ซึ่งเพียงแค่เหลือบดูเล็กน้อยโดยไม่แตะต้องแต่อย่างใด

“บอกตามตรงนะ   ผมอยากช่วยคุณพิจารณาเรื่องนี้” ชายผู้เปี่ยมไปด้วยอำนาจทำสีหน้าจริงจัง   “แต่ช่วงนี้งานในกองมากจนล้นมือเลยทีเดียว   คุณรู้ไหม   ผู้ใต้บังคับบัญชาของผมต้องทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ   เพื่ออะไรล่ะ   แน่นอน   เราไม่ได้ทำงานเพื่อรับใช้นักการเมือง   หรือเพื่อผลประโยชน์ของนายทุนอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด   ผมกับผู้ใต้บังคับบัญชาทำไปเพื่อผดุงความยุติธรรมในสังคมต่างหากล่ะ   และการอุทิศตเพื่อสังคมนี่เอง   จึงทำให้เราไม่ค่อยมีเวลาสำหรับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ   คุณคงต้องอดทนรอสักหน่อย”

“นานแค่ไหนครับ”   ชายหนุ่มรู้สึกเป็นกังวล   และเริ่มคิดถึงครอบครัวขึ้นมาอีก

“การให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนนั้น   จริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร   มันติดอยู่ตรงที่กำลังคนของผมไม่เพียงพอ   ทุกวันนี้มีงานสำคัญมากมายเหลือเกินที่ต้องชำระสะสาง”

“โธ่   พวกชาวบ้านคงรอแย่…”   เขาพึมพำออกมา

“เอาอย่างนี้ไหมครับ”   อีกฝ่ายหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเห็นใจ

“ถ้าอยากให้เรื่องมันเร็วขึ้น   คุณพอจะมาเป็นอาสาสมัครช่วยงานในหน่วยงานของเราได้หรือเปล่าล่ะ   มันเป็นงานที่สำคัญมากนะ   ถ้าคุณช่วยผมทำงานนี้จนเสร็จ   ผมรับปากจะพาคุณพร้อมกับเอกสารที่ผ่านการพิจารณาแล้ว   ไปเดินเรื่องขอความยุติธรรมที่กองบังคับความยุติธรรมด้วยตัวเอง   คุณจะได้คำตอบเร็วขึ้นอย่างแน่นอน   ผมพอมีเส้นสายในกองนั้นอยู่บ้าง”

เขาสะดุ้งเฮือก   เพิ่งรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่สุดท้ายในกระบวนการยุติธรรม   พลันก็นึกท้อใจขึ้นมาอย่างไรบอกไม่ถูก ทว่าด้วยความตั้งใจจริง   ซึ่งมีอยู่ก็แต่ในหัวใจของผู้ที่ยังไม่ยอมพ่ายแพ้   เขาจึงรีบถามผู้อำนวยการกองพิจารณาความยุติธรรมอย่างคนที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว

“งานที่ท่านจะให้ผมทำคืองานอะไร   บอกมาเถอะครับ   ว่าผมต้องทำอะไรบ้าง”

“งานที่จะให้ช่วยก็คือ   การแก้ปมปัญหาทั้งหมดของหน่วยงานของเรา   มันคั่งค้างมานานเต็มทีแล้ว”

จากนั้นผู้อำนวยการกองพิจารณาความยุติธรรมได้ยกหูโทรศัพท์สั่งการเจ้าหน้าที่คนเดิม   ให้เข้ามานำตัวเขาไปยังห้องเก็บปมปัญหาชั้นที่ 35 ของอาคารแห่งความยุติธรรม

ชายหนุ่มเผยอยิ้ม   รู้สึกราวกับว่าความยุติธรรมกำลังรอเขาอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง   สถานที่ซึ่งเขากำลังจะได้พบมันในอีกไม่ช้า   และนั่นก็ทำให้เขาเริ่มฝันถึงการได้กลับบ้านไปพบหน้าลูกเมียอีกครั้ง

.

.

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนเขาไม่แน่ใจนัก   เขาจดจำวันเดือนปีไม่ได้เสียแล้ว   ท้องฟ้าที่มองเห็นผ่านลูกกรงหน้าต่างบานเดียวของห้องนี้   ทำให้เขายังคงได้ชมแสงเดือนและแสงตะวันอยู่บ้าง   ทว่ามันกลับทำให้เขาคิดถึงบ้านอยู่เสมอ   แน่นอน   หัวใจของเขายังคงจดจ่ออยู่กับงานสำคัญตลอดมา   แต่เขาก็รู้สึกเศร้าเหลือเกินเมื่อเห็นว่า   แม้จะทุ่มเทกำลังกายลงไปอย่างหนัก   งานที่ทำอยู่ก็ไม่เคยคืบหน้าไปอย่างที่ใจหวัง

เขามองเชือกมนิลาเส้นยาว   มันยาวเสียจนไม่รู้ว่าปลายอีกข้างหนึ่งอยู่ที่ไหน   ด้วยกองสุมกันอยู่จนแตะเพดานห้องที่สูงลิบลิ่วราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุด

เชือกกองนี้กินพื้นที่เกือบทั้งหมดของห้องอันกว้างใหญ่   หน้าที่ที่เขาอาสามาทำก็แค่แกะแก้ปมเชือก   ซึ่งผูกเอาไว้เป็นเปลาะ ๆ ด้วยฝีมือของใครก็ไม่อาจรู้ได้   บางทีอาจจะเป็นคนร้ายหรือนักก่อปัญหาในสังคม   แต่ละเปลาะห่างกันประมาณหนึ่งคืบ   เขาเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย   ทว่าหลังจากใช้ชีวิตวัยหนุ่มอยู่ในห้องทึบทึมแห่งนี้จนกลายสภาพเป็นชายชรา   เขายังคงไม่สามารถแก้ปมเชือกทั้งหมดได้สำเร็จ   และไม่เคยมีใครเข้ามาถามว่างานคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว   ดังนั้นเมื่อเขาสิ้นใจจึงไม่มีใครรู้   วิญญาณของเขาได้แต่ก้มหน้าทำงานต่อไป   ด้วยความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่เพียงสองประการ   นั่นคือ   ความรู้สึกอยากทำงานให้สำเร็จ   และความรู้สึกคิดถึงลูกเมีย   ป่านนี้พวกนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างนะ   สุขสบายดีไหม   เขารำพึงด้วยความเปลี่ยวเหงาและเศร้าโศก

ระหว่างที่เขากำลังล่องลอยอยู่ในห้องเก็บเชือกเหมือนสายหมอกจาง ๆ อยู่นั้น   ประตูห้องซึ่งมีสภาพปิดตายมานานได้ถูกเปิดออกอีกครั้ง   อาจจะมีใครสักคนนึกถึงหรือจำได้ว่าเขาอยู่ในห้องนี้กระมัง   พวกนั้นคงจะพาเขาไปรับความยุติธรรมเสียที   เขาคิดอย่างดีใจ   การแก้ปมเชือกที่ยังเหลืออีกมากมายคงไม่จำเป็นอีกแล้ว

“คงไม่เป็นการรบกวนเกินไปนะครับ   งานของเราเต็มมือจริง ๆ   แต่งานที่คุณอาสามาทำมีความสำคัญมากที่สุด   เสร็จเมื่อไหร่รีบแจ้งให้เราทราบด้วยนะครับ”

เด็กหนุ่มหน้าตาซูบผอม   สวมเสื้อผ้าเก่าคร่ำคร่า   เดินมาหยุดอยู่ข้างกองเชือกสูงใหญ่ปานภูเขา   เมื่อประตูห้องปิดเสียงดัง   เด็กหนุ่มก็รีบนั่งลงแก้ปมเชือกอย่างกระตือรือร้น   ดวงตาทอประกายเปี่ยมไปด้วยความหวังเหมือนเขาในอดีตไม่มีผิด

เขาหวนคิดถึงอดีตของตัวเอง   แล้วคิดถึงอนาคตของเด็กหนุ่มคนนี้   ก่อนจะกรีดร้องโหยไห้เสียงดังราวกับต้องการให้กึกก้องไปทั่วทั้งอาคารแห่งความยุติธรรม   แต่แล้วมันก็เป็นได้เพียงแค่เสียงลมที่พัดผ่านลูกกรงหน้าต่างออกไปเท่านั้น

.

หมายเหตุ เรื่องสั้นเรื่องนี้รวมเล่มอยู่ในหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด “โรคระบาด” จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ศิราภรณ์บุ๊คส์ ปี 2560

ใส่ความเห็น