อ่านเรื่องสั้นประจำสัปดาห์
โฆเดินตรงไปที่โอ่งดินเผาสีน้ำตาลใบหนึ่ง มันอยู่ใต้ชายคาบ้าน เต็มด้วยน้ำฝนซึ่งตกวันละหลายครั้ง เขาคว้ากะลามะพร้าวตักน้ำอันมีรสหวานลิ้นขึ้นมาชำระล้างใบหน้า ถึงตอนนี้เขาควรจะรู้สึกสดชื่นขึ้นกว่าเดิม แต่อารมณ์ขัดแย้งสองจิตสองใจก็ทำให้เขาอยู่ในสภาพไหล่ห่อคอตก
“เปลี่ยนใจยังทันนะ ถ้าคุณไม่มีความสุข” บ้านพูดกับโฆ
“ใครถามเอ็งฮึ ไอ้บ้านหลังเขา บ้านยากไร้สิ่งอำนวยความสะดวกอย่างเอ็งน่ะ จะไปเข้าใจอะไรได้ ข้ามีความสุขดีกับการตัดสินใจครั้งนี้โว้ย เดี๋ยวเถอะ รอให้เจ้าของบ้านคนใหม่มาถึงซะก่อน ข้าก็จะเผ่นจากที่นี่ไป และไม่มีวันหวนกลับมาอีก เอ็งก็รู้ ข้าเบื่อที่นี่เต็มทน” เขาโต้ตอบเสียงดัง แล้วเดินไปรอบ ๆ ตัวบ้าน เพื่อสำรวจดูว่ามีสิ่งใดที่อาจหลงลืมทิ้งไว้
ความจริงเขาเคยทำเช่นนี้หลายครั้ง หลังจากเก็บเสื้อผ้า เครื่องใช้ไม้สอยและอุปกรณ์เขียนรูปลงในหีบไม้ใบใหญ่ตั้งแต่เมื่อวานตอนกลางวัน แม้กระนั้นก็ไม่พบว่าหลงหูหลงตาลืมสิ่งใดไว้เป็นอนุสรณ์ มันอาจเป็นเพียงข้อแก้ตัวของเขาเสียมากกว่า เขาแสร้งทำเป็นไม่สนใจไยดีกับตัวบ้านและบรรดาสิ่งต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นดินแดนแห่งนี้ ครั้นถึงวันอำลาเข้าจริง เขากลับปรารถนาจะสำรวจไปให้ทั่วทุกซอกทุกมุมโดยปราศจากเหตุผล
ในที่สุดโฆก็เดินมาหยุดลงใกล้กับมะม่วงป่าต้นหนึ่ง เขาแหงนคอตั้งบ่าเพื่อจ้องดูยอดไม้ซึ่งเต็มไปด้วยใบสีเขียวสดใส แล้วลดระดับสายตาลงเพื่อมองเลยไปทางเหลี่ยมเขา ตรงตำแหน่งที่ดวงอาทิตย์สีแดงกำลังลอยพ้นขึ้นมา
“ทำไมคุณร้องไห้ล่ะ คุณนักวาดภาพ” ต้นมะม่วงป่าถามด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“อย่าสอดรู้สอดเห็นไปหน่อยเลย” โฆตวาด “มนุษย์อย่างข้าสามารถหลั่งน้ำตาได้ทุกสถานการณ์นั่นแหละ ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข พวกเอ็งไม่มีวันเข้าใจหรอก”
“ฉันรู้สึกว่าคุณกำลังเศร้านะ นัยน์ตาของคุณมันฟ้อง”
“อวดรู้อีกแล้ว คนที่กำลังจะได้กลับบ้าน กลับไปอยู่ในเมือง มีหรือจะเศร้าเสียใจ” เขารีบแย้งอย่างขัดเขินแกมโมโห แต่แล้วก็ยักไหล่พร้อมกับหันไปมองรอบตัว “ที่นี่มีอะไรให้คนอย่างข้าต้องอาลัยอาวรณ์ ดูซิ ดูให้เต็มตา นอกจากต้นไม้ป่าเขาแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรที่ข้า…”
“มีพวกเราไงละ” กระจาบป่าคู่หนึ่งซึ่งบินวนอยู่ใกล้ ๆ พากันประสานเสียงขึ้น “หากคุณจากไปแล้ว อีกหน่อยก็จะไม่มีใครมาวาดรูปพวกเราอีก”
โฆทำท่าจะเอื้อมมือไปสัมผัสนกผัวเมียคู่นั้นด้วยความเคยชิน แต่กระตุกมือกลับได้ทันเสียก่อน เขาส่ายหน้าแล้วเช็ดน้ำตา รู้สึกคร้านที่จะโต้ตอบกับผู้ใด ในเวลานั้นเองที่สายลมระลอกหนึ่งพัดผ่านมาพอดี “พวกเราจะคิดถึงคุณ” เทือกเขาสลับซับซ้อนไกลออกไปได้ฝากเสียงมาด้วย
แล้วโลกรอบตัวของโฆก็เงียบลงอีกครั้งหนึ่ง แม้เสียงเสียดส่ายกิ่งก้านใบของหมู่ไม้ก็สงบลง เขาเดินมาทรุดร่างนั่งลงบนม้ายาวหน้าบ้าน สายตาจ้องมองถนนลูกรังที่ลัดเลาะคดเคี้ยวผ่านทุ่งทานตะวันเหลืองอร่าม เขากำลังเฝ้ารอชายผู้ปรารถนาออกจากเมืองใหญ่มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ชายคนนั้นจะมาครอบครองบ้านหลังนี้แทนเขา ขณะเดียวกันเขาเองก็จะกลับไปสู่ความสนุกสนานซึ่งชายคนดังกล่าวประกาศทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี
พวกเพื่อน ๆ จะต้อนรับเขาด้วยอาหารและเครื่องดื่มรสเลิศ แน่นอนว่าคงไม่มีใครหลุดเสียงหัวเราะขบขันออกมา หากเห็นเขาเผลอตะกรุมตะกรามกินอาหารหรือสุรารสดีเข้าไปเหมือนคนหูป่าตาเถื่อน ไม่แปลกเลยสำหรับเรื่องนี้ เขาได้เหินห่างอารยธรรมของเมืองใหญ่ไปนานมากแล้ว ทว่าด้วยความที่เคยใช้ชีวิตท่ามกลางความศิวิไลซ์มาตั้งแต่เกิด ก็น่าจะช่วยทำให้เขาสามารถกลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับเมืองใหญ่ได้โดยไม่ยากเย็นนัก
ภาพของความสะดวกสบายจากเครื่องใช้อันทันสมัย ตลอดจนชีวิตที่ล้อมหน้าล้อมหลังด้วยแสงสี สถานบันเทิง ศูนย์การค้า และผองเพื่อน ทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้
“เราเป็นอะไรไปนะในตอนนั้น อยู่ดี ๆ ก็เกิดเพี้ยนสุดฤทธิ์สุดเดช ทิ้งสิ่งซึ่งเป็นความบรมสุขของชาวเมืองมาเสียดื้อ ๆ”
ใช่แล้ว เขาได้ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ และความหรูหรา อันเป็นยอดปรารถนาของผู้คนในเมือง ทุกคนล้วนตะเกียกตะกายเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นมาครอบครอง แต่เขาเหวี่ยงพวกมันออกไปจากชีวิต ไม่ต่างจากการโยนเศษผ้าขี้ริ้วลงถังขยะ ผีห่าซาตานตนใดกันแน่ที่ชักจูงให้เขาลุ่มหลงดินแดนแห่งธรรมชาติ จนแม้แต่อดีตคนรักก็ไม่อาจห้ามปรามได้
โฆไม่ลืมว่าตัวเองดื้อรั้นกับทุกคนที่หวังดี กระทั่งยอมแลกทรัพย์สินทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่ดินผืนนี้ เพื่อบ้านรูปทรงเรียบง่าย หวังใช้มันเป็นเรือนตาย แน่นอน เขาตั้งเป้าหมายให้กับชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยการเขียนรูปทุกวัน ปล่อยให้วัยหนุ่มดำเนินไปอย่างสงบ แล้วจากโลกนี้ไปอย่างกล้าหาญ อย่างไรก็ตาม หลังจากใคร่ครวญมานานหลายเดือน เขาก็พบว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องเบาปัญญา เป็นสิ่งที่ความเพ้อฝันแปลกประหลาดได้เล่นตลกเอากับเขา ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ใจร้ายเรียกเด็กโง่งมคนหนึ่งมาปั่นหัวเล่นให้มึนงง เพียงเพื่อจะหัวเราะชอบใจในภายหลัง
“คุณกล้ายอมรับไหมล่ะ ว่าครึ่งปีแรกคุณมีความสุขดี ฉันหมายถึงความสุขจริง ๆ หาใช่ความสนุกสนานไม่ มันคนละเรื่องกันนะ”
เขาเหลียวมองหาผู้พูด ผีเสื้อปีกเหลืองเหมือนแสงอันสว่างของพระจันทร์นั่นเอง มันบินมาเกาะลงบนเกสรดอกบัวซึ่งบานอยู่ในอ่างน้ำข้างม้านั่ง เขายิ้มอย่างเยาะ ๆ ให้กับคำพูดของแมลงตัวจ้อย สายตาเปลี่ยนไปจ้องมองทุ่งทานตะวันที่เขาปลูกมาแล้วหลายรุ่น เป็นภาพที่เคยสร้างความเบิกบานใจอย่างลึกซึ้ง แต่บัดนี้ไร้ค่ายิ่งนัก เทียบไม่ได้เลยกับความสะสวยของเหล่าดอกไม้แห่งเมืองหลวง
โฆนึกถึงบรรดาหญิงสาวในเครื่องแต่งกายหลากสีสัน หญิงงามผู้แต่งแต้มใบหน้าด้วยเครื่องสำอาง และอบร่ำผิวกายด้วยน้ำหอมมีราคา เธอเหล่านั้นจะทำให้ชีวิตของเขาท่วมท้นด้วยความหฤหรรษ์ เขาจะไม่ว้าเหว่อีกต่อไป ขอเพียงแค่คืนสู่วงสังคมเดิม เมื่อชื่อเสียงในฐานะศิลปินหนุ่มเป็นของเขาอีกครั้ง เงินทองที่พอกพูนในแต่ละปี ย่อมกวักมือเรียกสิ่งที่เขาต้องการให้เข้ามารุมล้อม เฉกเช่นกลิ่นดอกบัวในอ่างน้ำนี้ ที่เชื้อเชิญผีเสื้อทุกตัวให้บินมาดอมดมด้วยความหลงใหล
หญิงสาวทั้งหลายจะถูกประคองไปเยือนห้องพักหรูหราในอาคารระฟ้ากลางใจเมือง เขาจะต้อนรับพวกเธอด้วยเครื่องเรือนราคาแพงเปี่ยมรสนิยม ภายใต้อากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศทันสมัย พวกเธอกับเขาจะมอบความเพลิดเพลินให้แก่กันและกัน เสียงดนตรีจากเครื่องเสียงชั้นดีจะขับกล่อมบรรเลงอย่างไพเราะ จอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ยักษ์บนผนังห้องจะฉายให้เห็นถึงความบันเทิงที่มนุษย์สร้างขึ้น มันสมองอันชาญฉลาดของคอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุดจะเปิดดวงตาพาเขาเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอันสลับซับซ้อน สถานที่ซึ่งมนุษย์สมัยใหม่เข้าไปแสวงหาความบันเทิงและพยายามแสดงตัวตนกันอย่างคึกคัก
“พวกเราจะหัวเราะให้กันผ่านกล้องเว็บคาเมร่าอันเปรียบได้กับตาทิพย์แห่งยุคสมัย พวกเราจะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารใหม่ ๆ เพื่อหลุดพ้นจากความโง่งม พวกเราจะไม่หงอยเหงากันอีกต่อไป” โฆพึมพำกับตัวเอง
ทันใดนั้น ลมที่นิ่งสงบมานานก็เริ่มพัดโชยผะแผ่วแล้วเปลี่ยนเป็นกระโชกแรง สายลมกำลังหอบเอาเมฆดำมุ่งตรงมาที่นี่เพื่อโปรยปรายหยาดน้ำไปทั่วทุกหนแห่ง เขานั่งนิ่งเฉยแต่เงี่ยหูคอยฟังเสียงฝนกระทบหลังคา หยาดฝนทำให้ใบไม้สั่นไหวและร่วงหล่น พวกมันตกต้องลงตรงหัวใจของเขา ไม่มีสิ่งใดจะปิดกั้นได้
“มาเล่นน้ำฝนกันเถอะ พวกเราชวนคุณนะ คุณจิตรกร เราอยากให้คุณได้ทบทวนถึงวัยเด็ก คุณเคยมีความสุขยามได้เล่นน้ำฝนเสมอนี่นา ถ้าคุณจะไม่โกหกตัวเองนะ” หยาดฝนพากันร้องเกลี้ยกล่อม
โฆลุกขึ้นยืน ยิ้มให้กับหยาดฝนทั้งมวล ก่อนวิ่งถลากางแขนออกไปยังลานดินใกล้กับทุ่งทานตะวัน พร้อมกันนั้นก็หวนคิดถึงเรื่องราวในวันเก่าก่อน ภาพในความทรงจำราวกับภาพถ่ายขาวดำ ซีดจางรางเลือน แม้กระนั้นความรู้สึกสนุกแบบเด็ก ๆ ก็ชัดเจนยิ่ง เสียงหัวเราะของเขากับเพื่อน ๆ ยามได้วิ่งเล่นกลางสายฝนดูเหมือนจะดังก้องฟ้า สมัยนั้นฝนเม็ดใหญ่เหลือเกิน ทำให้รู้สึกเจ็บเมื่อมันตกกระทบใบหน้า ใช่แล้ว ใบหน้าซึ่งแหงนขึ้นฟ้าเพื่ออ้าปากรับน้ำฝน ในอดีตผู้คนของเมืองใหญ่ล้วนอาศัยน้ำจากท้องฟ้าดื่มกินเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต เมื่อฝนทุกเม็ดรวมตัวกันเป็นลำคลองและแม่น้ำ มนุษย์ก็ยังสามารถตักมาดื่มกินได้เสมอ แต่ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นความหลังไปจนหมดสิ้น ปัจจุบันมีเพียงชีวิตกลางป่ากลางเขาเช่นที่นี่เท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถกลืนกินน้ำฝนได้อย่างสนิทใจ
“ยังไม่สายเกินไปใช่มั้ย ถ้าข้าจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีก” เขาเอ่ยถามเสียงเศร้า ๆ
“ไม่มีเรื่องราวใดที่สายเกินไปสำหรับมนุษย์อย่างคุณ ผู้ซึ่งธรรมชาติสร้างมาให้รู้จักการตัดสินใจ” หยาดฝนหยดหนึ่งตกลงบนเปลือกตาของเขา
“ข้าสามารถเลือกหนทางที่จะมีความสุขได้ยังงั้นหรือ” โฆตั้งคำถามอีกครั้ง จังหวะนี้เองที่เขาได้ยินเสียงประหลาดล่องลอยมา เขาพยายามสดับตรับฟัง เสียงจากเมืองใหญ่ใช่ไหมนั่น จริงสินะ เขาคิด ในชนบทมีเสียงของชนบท อันเป็นสรรพสำเนียงของต้นไม้ใบหญ้าส่ำสัตว์ ขณะที่ในเมืองก็มีเสียงของเมือง เสียงซึ่งเกิดจากการผสมผสานของเครื่องยนต์กลไกและวัตถุที่แปลกแยกจากธรรมชาติ บัดนี้มันกำลังกู่ร้องเรียกหาเขาเหมือนเพื่อนร้องเรียกหาเพื่อน
สายฝนซาเม็ดลงเล็กน้อย เขายกฝ่ามือขึ้นลูบเปลือกตาและใบหน้าหลายครั้ง ไม่นานนักก็มีเสียงใหม่ดังขึ้นมาอีก
“เสียงรถยนต์” โฆร้องขึ้นด้วยความดีใจ
รถกระบะสีแดงชนิดขับเคลื่อนสี่ล้อแล่นมาจอดใกล้กับจุดที่เขายืนอยู่ ชายผู้เดินทางตามลำพังเปิดประตูรถแล้วกระโดดลงมาโลดเต้น ปากก็ส่งเสียงโห่ร้องยินดีด้วยท่าทางเหมือนคนสติไม่สมประกอบ
“ผมชอบที่นี่เหลือเกิน วิเศษจริง ๆ คุณคงไม่ลืมสัญญาใช่มั้ย คุณบอกว่าถ้าผมอยู่ที่นี่ได้ตลอดไป คุณจะยกบ้านและที่ดินหลายสิบไร่นี่ให้ผม” ชายคนนั้นถามอย่างคาดคั้น ก่อนจะทำท่าเต้นรำกับร่างของหญิงสาวที่โฆมองไม่เห็น เขารู้สึกเหมือนเคยเห็นชายคนนี้ที่ไหนมาก่อน แต่พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก
“ถูกต้อง ผมไม่ลืมคำพูดแน่ คุณเองก็อย่าลืมแล้วกัน ถ้าผมอยู่ที่คอนโดมิเนียมของคุณได้ตลอดชีวิต ทำงานแทนคุณได้ ทุกสิ่งทุกอย่างของคุณจะต้องตกเป็นสมบัติของผม”
เมื่อตกลงกันเป็นมั่นเป็นเหมาะดีแล้ว โฆจึงมอบบ้านแก่ชายคนนั้นซึ่งก็รีบยื่นลูกกุญแจให้เขาทั้งพวงเช่นกัน ดอกหนึ่งเป็นกุญแจติดเครื่องรถกระบะสีแดง
“อยู่ที่นี่คนเดียวระวังบ้านะ มันเงียบเหงามาก” เขาเตือนอีกฝ่ายด้วยความหวังดี ขณะลากหีบไม้ในบ้านออกมายกวางใส่ท้ายรถ
“คุณก็เหมือนกัน ถ้าอยู่ในเมืองไปนาน ๆ”
ระหว่างที่โฆขับรถผ่านทุ่งทานตะวันมาได้สักระยะหนึ่ง เขาก็ระลึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นชายคนนี้ที่ไหน แต่นั่นก็ไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว เขาคิด ก่อนจะเร่งความเร็วบังคับรถกระบะสีแดงแล่นทะยานไปบนถนน.
(พิมพ์ครั้งแรก วารสารวิทยาจารย์ เดือนเมษายน พ.ศ. 2554 )







