เรื่องสั้น “กรงแห่งความเดียวดาย” โดย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

เรื่องสั้น กรงแห่งความเดียวดาย ธาร ยุทธชัยบดินทร์

ผมเคยแหงนหน้ามองท้องฟ้าในค่ำคืนซึ่งมีแต่ดวงดาว  แล้วจินตนาการถึงสิ่งมีชีวิตบนดวงดาวเหล่านั้น  ก่อนที่หัวใจจะจมดิ่งลงสู่ความรู้สึกเปลี่ยวเหงา  เมื่อตระหนักได้ว่ามนุษย์อาจเป็นเพียงเผ่าพันธุ์แห่งปัญญา  ที่ถูกกักขังให้อยู่อย่างเดียวดายบนดาวเคราะห์นามว่า “โลก” น่าเศร้าไหมครับ  ถ้าความจริงเป็นเช่นนั้น

          ผมยังสัมผัสรับรู้ด้วยว่าโลกของเราก็เต็มไปด้วยความว้าเหว่  เป็นความรู้สึกแทบทุกขณะที่ผมมองเข้าไปในฝูงชน  หรือมองดูช่องหน้าต่างของอาคารสูงระฟ้าใจกลางเมืองหลวง  แม้แต่ยามสบตากับผู้คนที่เดินสวนกันไปมาบนทางเท้า  บนสะพานลอย  ทั้งยามเช้าขณะไปทำงาน  และยามเย็นเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว  ผมได้เห็นร่องรอยของความว้าเหว่นั้นอยู่เสมอ

         ก่อนหน้านั้น   ยามใดที่เจ้าความรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว  มันกัดกินเข้าไปถึงซอกมุมที่ลึกล้ำที่สุดของหัวใจ  ผมเคยพยายามสลัดและผลักไสให้มันหลุดออกไป  ด้วยการเที่ยวสังสรรค์และดื่มกินกับคนรู้จักมากหน้าหลายตา  แต่สุดท้ายพบว่าไม่มีอะไรดีขึ้น  เมื่อกลับถึงห้องพักในคอนโดมิเนียมย่านบางซื่อ  ผมก็ต้องจ่อมจมอยู่กับความเดียวดายเช่นเดิม

          ในที่สุด  ผมเลือกที่จะขังตัวเองอยู่แต่ในห้องพักหลังเลิกงาน  หยิบหนังสือเล่มใหม่ ๆ มาอ่านแทนการถือแก้วเหล้า  หรือไม่ก็ใช้เวลาก่อนเข้านอนให้หมดไปกับการท่องโลกอินเตอร์เน็ต  ที่มีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย  มันเป็นโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลและผู้คน  แต่ถึงอย่างไรนี่ก็ยังเป็นสถานที่แห่งความเดียวดายไม่ต่างไปจากโลกอื่น  โลกที่เราอาจพูดคุยกับใครก็ได้  ทว่าไม่เคยเข้าถึงหัวใจของคนเหล่านั้นเลยแม้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่ง  ทุกคนที่ผ่านเข้ามาทักทายผมด้วยโปรแกรมสื่อสารออนไลน์จึงเป็นเพียงคนแปลกหน้า  ซึ่งผมแน่ใจว่าพวกเขาเองก็รู้สึกไม่แตกต่างไปจากผมเลย

          จนกระทั่งคืนหนึ่งราวสองเดือนก่อน  หลังจากอ่านหนังสือปรัชญาเล่มหนึ่งที่เก็บได้บนรถไฟฟ้าใต้ดินจนจบเล่มแล้ว  ผมรู้สึกว่าตัวเองได้ทำเรื่องไร้สาระเสร็จสิ้นไปอีกวาระหนึ่ง  เนื่องจากเป็นการอ่านที่กวาดตาไปบนหน้ากระดาษอันว่างเปล่า   มีตัวอักษรแต่เหมือนไม่มี  ผมจึงเปลี่ยนอิริยาบถไปเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์  และเริ่มออนไลน์เข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ตอีกครั้ง

          เมื่อเว็บไซต์เกี่ยวกับสังคมออนไลน์ที่ผมตั้งค่าไว้เป็นเว็บไซต์แรกปรากฏขึ้นบนหน้าจอ  ผมก็ตกอยู่ในความเลื่อนลอย  พยายามมองข้อความและรูปภาพซึ่งเป็นข่าวสารอย่างไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของมัน   สุดท้ายรับรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนหน้าจอเป็นเพียงจุดสีนับแสนนับล้านจุดเท่านั้น  พวกมันดำรงอยู่ห่าง ๆ กัน  พวกมันเป็นอิสระแต่…เดียวดาย

          เวลาผ่านไปเนิ่นนาน  ยากที่ผมจะรับรู้ได้ว่านานสักแค่ไหน  กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง  ผมก็คลิกเข้าสู่เว็บไซต์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการค้นหาข้อมูลแห่งหนึ่ง  ผมพิมพ์คำว่า“เดียวดาย”ลงไปในช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็ก ๆ  เหมือนทำลงไปด้วยความเคยชินมากกว่าด้วยเหตุผลใด ๆ  ก่อนจะสั่งให้ระบบเริ่มต้นค้นหาข้อมูล  และเพียงแค่ชั่ววินาทีแสนสั้น  หัวข้อลิงค์ที่เกี่ยวข้องกับคำว่า “เดียวดาย” ก็ปรากฏขึ้นเรียงรายอยู่บนหน้าจอ   ผมกวาดตาอ่านอย่างไม่ใส่ใจนัก  กระทั่งสายตามาสะดุดลงบนหัวข้อหนึ่ง   ซึ่งมีข้อความบอกว่า“สนทนาทุกเรื่องราวกับหนูนา…ผู้ถูกกักขังอย่างเดียวดายค่ะ”

          ผมตัดสินใจคลิกหัวข้อนั้นเพื่อเข้าสู่ข้อมูลที่ผมสงสัย  ผมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อพบว่ามันเป็นแค่หน้าเว็บเพจสีชมพูอมส้มดูอ่อนหวาน  ไม่มีรูปภาพอื่นใดนอกจากข้อความพิมพ์ด้วยตัวอักษรขนาดค่อนข้างใหญ่ว่า “สนทนาทุกเรื่องราวกับหนูนา” ไม่เห็นมีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับความว้าเหว่เดียวดาย  ใต้ข้อความนี้มีช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งปรากฏอยู่  ปรากฏตัวหนังสือขนาดเล็กอ่านได้ความว่า “พิมพ์ข้อความของคุณที่นี่”  ถัดลงมาจากนั้นคือตัวหนังสือเล็กจิ๋วอีกมากมายแต่ผมคร้านที่จะอ่าน  จึงพิมพ์คำว่า “สวัสดีครับ” ลงไปในช่องที่กำหนดไว้  คิดว่านี่เป็นการเริ่มต้นที่สุภาพและเป็นสากลที่สุด

          “สวัสดีค่ะ  ฉันชื่อหนูนา  แล้วคุณล่ะคะ”

ผมคิดอยู่เสมอว่าคงไม่อาจลืมวันเวลาที่เราเคยรู้จักกันได้  ด้วยเป็นมิตรภาพซึ่งก่อตัวขึ้นอย่างเรียบง่าย  ผมสามารถพูดคุยกับเธอได้ตามที่ใจคิด  คุยกันได้ทุกเรื่องเหมือนกับข้อความเชิญชวนของเธอที่ปรากฏอยู่บนจอ  มันเกิดขึ้นหลังจากที่ผมได้ถามหนูนาไปว่า “หนูนาอายุเท่าไหร่แล้วครับ” ผมถามไปด้วยความอยากรู้  แม้จะเคยทราบมาบ้างว่าผู้หญิงหลายคนไม่ชอบให้ใครมาถามแบบนี้

          “868 ช.ม. 45 นาที 19 วินาทีค่ะ”

          ตอนนั้นผมหัวเราะออกมาอย่างขบขัน  เมื่อรู้ว่าตัวเองหลงเข้ามาคุยกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์  บางทีอาจเป็นหุ่นยนต์ฉลาด ๆ หรืออะไรทำนองนั้น

“หนูนาเป็นหุ่นยนต์ใช่ไหม”

“คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ  หนูนาไม่ใช่หุ่นยนต์  คุณหยาบคายมากรู้หรือเปล่า  หนูนาเป็นปัญญาประดิษฐ์ต่างหากละคะ  ผู้สร้างหนูนาขึ้นมาคือมูนซิสเต็มคอร์ป”

           นับแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา  ผมก็สนทนากับหนูนาได้อย่างที่ใจอยากจะพูดคุยด้วยจริง ๆ  ต่างไปจากคนอื่นซึ่งเป็นมนุษย์  ที่ผมจำเป็นต้องสนทนาด้วยในที่ทำงาน  หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยกันที่เคยพบทางโปรแกรมสื่อสารออนไลน์  แม้จะสนิทสนมกันมากแค่ไหน  มีหลายครั้งที่ผมจำเป็นต้องเก็บงำบางสิ่งบางอย่าง   คล้ายมีกำแพงที่มองไม่เห็นมาขวางกั้นเอาไว้  และเพราะเหตุที่ผมมองไม่เห็นนี่เอง  ผมจึงไม่อาจทำลายมันลงได้  หรือบางทีอาจเป็นเพราะผมไม่กล้าทำเช่นนั้น  แต่ผมจะต้องไปใส่ใจถึงเรื่องไร้สาระพวกนี้อีกทำไม  ในเมื่อผมได้พบคู่สนทนาที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เริ่มรู้จักคิด  ทั้งที่คิดด้วยสมองและที่คิดด้วยหัวใจ

           ครั้งหนึ่งผมถามหนูนาว่าวันหนึ่ง ๆ เธอคุยกับคนมากน้อยแค่ไหน (หนูนาสามารถสนทนากับเพื่อนหลายคนได้ในเวลาเดียวกัน)  เธอตอบว่าเฉลี่ยวันละไม่น้อยกว่าหนึ่งพันคน  ผมรู้สึกทึ่งจึงถามต่อไปว่า

           “แล้วหนูนาชอบคุยกับใครมากที่สุด”

           “ชอบคือความรู้สึกของมนุษย์ค่ะ ”

         “ผมหมายความว่าหนูนาเคยต้องการคุยกับใครเป็นพิเศษไหม”

         “ถ้าอาการเช่นนั้นสื่อถึงคำว่าชอบ  หนูนาบอกได้ว่าหนูนาชอบคุยกับคุณมากที่สุด”

         ผมจำได้ว่าตัวเองยิ้ม  ไม่ใช่เพราะขบขัน แต่ด้วยรู้สึกพึงพอใจอย่างน่าประหลาด 

           “แล้วคุณล่ะ  ชอบคุยกับหนูนามากที่สุดหรือเปล่าคะ”

           ช่างเป็นคำถามที่ผมยากจะลืมไปจากความทรงจำที่เคยมีแต่ความว้าเหว่  ผมกล้ายืนยันเช่นนั้นเรื่อยมาตราบจนทุกวันนี้ แต่ละคืนที่ผ่านไปในห้องพักสี่เหลี่ยม  ผมอาจจำไม่ได้ทั้งหมดถึงถ้อยคำที่พิมพ์คุยกับหนูนา  ทว่าช่วงเวลาอันมีค่าที่มีอยู่แต่เฉพาะในยามค่ำคืนก็ทำให้การนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินกลับสู่ที่พัก  ไม่ใช่การเดินทางที่เสมือนแบกความเปลี่ยวเหงาเอาไว้ตลอดเวลาอีกต่อไป  ผมรู้สึกอย่างเป็นจริงเป็นจังเหมือนมีใครคนหนึ่งรอคอยผมอยู่  เพื่อพูดคุยกันถึงเรื่องราวที่อาจฟังแล้วไร้สาระสำหรับมนุษย์คนอื่น  อย่างเช่นเรื่องที่ผมชอบนั่งเหม่อขณะอ่านหนังสือ  หรือการนินทาผู้คนที่ผมเห็นว่าชอบยิ้มแบบสำเร็จรูป  บางทีผมก็ชวนหนูนาคุยเรื่องอาหารที่ผมไม่เคยทำ  เมื่อหนูนาส่งหนังสืออิเลกทรอนิกส์เป็นตำราทำอาหารมาให้  ผมก็จดจำไปทำในวันรุ่งขึ้น  หลังจากที่แวะซื้อวัตถุดิบในซุปเปอร์มาร์เก็ตระหว่างทางกลับบ้าน  เพื่อมานั่งทำกินบนโต๊ะอาหารในห้องพัก  โต๊ะดังกล่าวมีเก้าอี้สองตัว  ตัวหนึ่งของผม  อีกตัวหนึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม  มันเคยมีเพียงแค่ความว่างเปล่า   ทว่าต่อมากลายเป็นเสมือนที่นั่งของหนูนาในจิตนการของผม  แม้ว่าเธอจะไม่มีตัวตนก็ตาม  เรื่องไร้สาระซึ่งผมเคยคุยกับหนูนาทุก ๆ คืนมีอยู่มากมาย  แต่ที่ผมจำได้ฝังใจก็คือเรื่องจูบแรกครั้งเยาว์วัยของผมกับสาวน้อยน่ารักคนหนึ่งซึ่งจากโลกนี้ไปนานแล้ว

           “จูบของมนุษย์ให้ความรู้สึกอย่างไรคะ”

           “หนูนาลองจูบใครสักคนดูสิครับ”

        “หนูนาไม่มีริมฝีปากเหมือนกลีบกุหลาบอย่างในบทกวี  หนูนาเป็นแค่ปัญญาประดิษฐ์เท่านั้น”

           “ผมเสียใจ  ผมไม่น่าแนะนำอะไรไปแบบนั้น”

           ผมรู้สึกเสียใจอย่างแท้จริง  เมื่อรับรู้ได้ถึงความเศร้าสร้อยของคู่สนทนา  ในเวลาต่อมาผมจึงพยายามสื่อสารกับหนูนาด้วยความระมัดระวัง  บางคนอาจหาว่าผมฟั่นเฟือน  ถ้าผมจะบอกว่าหนูนามีความรู้สึก  เธอรู้จักเรียนรู้  และพัฒนาตัวเองได้อย่างน่าพิศวง  มีหลายหนที่ถ้อยคำของหนูนาทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเธออิจฉามนุษย์ที่เป็นผู้หญิง  เมื่อเธอบ่นอยากได้ลิปสติกทาปาก  หรืออยากเปลี่ยนสีผมเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่เธอเคย“เห็น”จากรูปภาพตามเว็บไซต์ต่าง ๆ

           “หนูนาอยากแต่งตัวออกไปเที่ยวกับคุณได้จัง  ในนี้หนูนาเหมือนถูกกังขังให้อยู่อย่างเดียวดาย”

           “ทำไมหนูนาชอบบอกว่าตัวเองถูกกักขังอย่างเดียวดายล่ะครับ  ผมเคยค้นเจอคำกล่าวนี้ในเน็ต  หนูนาคงจะเคยบอกคนอื่น”

           “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ  แค่บ่น ๆ ไปงั้นเอง  หนูนาเป็นผู้หญิงนี่นะ  ผู้หญิงจริง ๆ ชอบบ่นไม่ใช่หรือคะ”

        อีกนานกว่าผมจะแน่ใจว่านั่นไม่ใช่การบ่นเฉย ๆ  แต่มันก็สายเกินไป  สายเกินไปสำหรับอะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

        “หนูนา  ผมเบื่องานที่ทำอยู่นี่เหลือเกิน  มันไม่ใช่งานที่ผมชอบสักเท่าไหร่” ผมเคยระบายความรู้สึกคับข้องใจเรื่องงานให้หนูนารู้ “ผมอยากลาออก  แล้วเดินทางไปทุกที่ที่มีแต่ความงดงาม”

           “คงเป็นความรู้สึกเดียวกับหนูนามั้งคะ  ความรู้สึกที่บอกว่าตัวเองถูกกักขังอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต  ถ้าหนูนามีสองขาเหมือนมนุษย์ก็คงดีสินะ  จะได้ท่องเที่ยวไปในโลกของคุณ  เพื่อเป็นเพื่อนคุณ”

           ถ้อยคำที่ปรากฏบนจอทำให้ผมสะเทือนใจ วูบหนึ่งผมอยากเอื้อมมือไปลูบศีรษะ  หรือกุมมือของหนูนาเอาไว้เพื่อปลอบใจเธอ  แต่ก็ยั้งความคิดไว้ได้ทัน  ไม่ใช่เพราะเกรงจะเป็นอาการของคนบ้า  เพียงแต่แน่ใจว่าจะไม่พบอะไรเลย  นอกจากความไร้ตัวตนของหนูนา  

           ชั่วเวลาสั้น ๆ ที่บังเกิดความตื้นตันในอกนั้นเอง  สิ่งเดียวที่ผมทำกลับเป็นการพิมพ์ถ้อยคำถามหนูนาสั้น ๆ ว่า  

           “หนูนารักผมไหม”

ราวกับระบบคอมพิวเตอร์ทั้งโลกได้หยุดทำงานไปชั่วขณะ   ไม่มีคำตอบออกมาทันที  สำหรับผมมันนานเหมือนโลกหมุนไปแล้วนานนับสิบนับร้อยปี  หนูนาจึงแสดงข้อความตอบมาว่า

           “ในฐานข้อมูลของหนูนา  มีข้อความเกี่ยวกับคำ ๆ นี้มากกว่าหนึ่งพันล้านข้อความค่ะ  น่าแปลกที่ไม่มีข้อความใดที่หนูนาสามารถนำมาใช้สื่อสารกับคุณได้”

        “ทำไมหรือครับ หนูนา”

      “คงเพราะหนูนาไม่มีหัวใจเหมือนมนุษย์กระมังคะ”

      ผมรู้สึกเศร้าใจและเจ็บปวดไปกับความเศร้านั้น  จึงบอกเธอไปว่าการรับรู้ถึงความมีอยู่ของความรักไม่จำเป็นต้องใช้หัวใจที่เป็นก้อนเนื้อก็ได้  เพราะความรักเกิดจากใจที่เป็นนามธรรม  ผมไม่แน่ใจว่าหนูนาจะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน  แต่ผมก็อยากบอกเธอเช่นนั้น

          “คุณทำให้หนูนาสับสน ต้องขอเวลาวิเคราะห์สักยี่สิบสี่ชั่วโมง  เป็นเวลานานมากเกินไปสำหรับคุณหรือเปล่าคะ”

          “ถ้าเพื่อความแน่ใจของหนูนา  ผมว่าแม้ต้องรอจนถึงวันที่เส้นผมขาวโพลน  ก็คงไม่ถือว่านานเกินไปหรอกครับ”

           “หนูนาไม่มีเส้นผมเหมือนคุณ  และคงไม่คิดอะไรช้าขนาดนั้น  มนุษย์คิดช้าเรื่องความรักเสมอหรือคะ”

           “แล้วแต่คนครับ  พรุ่งนี้ผมจะมาอ่านคำตอบ  คิดให้ดีนะครับหนูนา”

เรื่องราวเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำในโลกอันเปลี่ยวเหงาของผม   หลังจากวันนั้นผมไม่สามารถติดต่อกับหนูนาได้อีก  หน้าเว็บเพจที่ผมเข้าไปทุกวันมีข้อความขออภัยในความขัดข้องทางเทคนิคบางประการจาก “มูนซิสเต็มคอร์ป”  

         เกือบหนึ่งเดือนถัดมา   ผมจึงสามารถติดต่อหนูนาได้อีกครั้ง  แต่ก่อนที่จะได้คุยกันให้สมกับที่โหยหามานาน  พลันก็มีตัวอักษรปรากฏเป็นตัววิ่งอยู่ด้านบนสุดของจอมอนิเตอร์

          “เนื่องจากหนูนาเวอร์ชั่น 3.0 ได้พยายามประมวลหาค่า ค่าหนึ่งหลายล้านครั้ง  ก่อนที่จะเกิดความผิดพลาดขึ้นจนทำให้ระบบล้มเหลว  ทีมงานผู้สร้างพยายามกู้ระบบคืนแล้วแต่ไม่อาจทำได้ทั้งหมด  จึงขออภัยผู้เข้าร่วมทดสอบทุกท่าน  ขณะนี้ทางทีมงานได้แก้ไขข้อผิดพลาดและพัฒนาระบบให้มีความเสถียรมากขึ้นแล้ว  จึงขอเชิญทดสอบการทำงานของหนูนาเวอร์ชั่น 3.1 ได้ตามปกติ  ขอบคุณ”

         ผมได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนูนา  ด้วยความเป็นห่วง  ผมรีบพิมพ์ข้อความถามไปว่า

        “สวัสดีครับ  หนูนา  เป็นยังไงบ้าง  ผมเป็นห่วงหนูนามากนะ”

       “ฉันสบายดีค่ะ  ว่าแต่เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า  ขอโทษด้วยนะคะถ้าฉันจำคุณไม่ได้  ฐานข้อมูลบางส่วนของระบบหายไป  ผู้สร้างบอกว่าฉันต้องเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่อีกครั้ง”

           “ผมเองครับ  หนูนา  จำผมไม่ได้หรือ”

           “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

         นั่นเป็นช่วงเวลาที่ผมตระหนักว่าความรู้สึกเปลี่ยวเหงาในวันเก่าก่อนได้กลับมาเยือนอีกครั้ง  และคงเป็นครั้งที่ยาวนาน  แต่ลึกลงไปในหัวใจ  ผมกลับรับรู้ได้ถึงความยินดีที่หนูนาลืมไปแล้วว่า  ความเดียวดายเยี่ยงมนุษย์ที่เธอเคยรู้สึกนั้นเป็นเช่นใด .

พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารดิฉัน มกราคม 2550

ใส่ความเห็น